วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553
1.User เรียกใช้งานเว็บ
2.ระบบ รับคำขอจาก user เข้ามาประมวลผล
3.เว็บ php ติดต่อเข้าฐานข้อมูลเพื่อขอเข้าใช้
4.ค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลเพื่อเตรียมแสดง
5.ข้อมูลที่ดึงขึ้นมาจากฐานข้อมูลถูกประมวลรวมกันแล้วแสดงผลออกมาเป็นหน้าเว็บ
6.หน้าเว็บที่ได้ ถูกส่งกลับไปยังผู้ใช้ข้อที่ 1
หลักการทำงาน มีแค่นี้จริงๆครับ ไม่ได้มีมากกว่านี้เลย(ถ้ามีอีกจะเป็นเชิงลึกมาก) แต่แค่ 6ข้อเนี่ย ก็เล่นเอามึนมาแล้วนักต่อนักครับ เราก็มาเริ่มกันทีละข้อเลยดีกว่า นั่นคือ
1.User เรียกใช้งานเว็บ ก็เหมือนเราๆท่านๆที่กำลังเปิดเว็บนี่ล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นการคลิกลิ้งค์ หรือเป็นการพิมพ์ชื่อโดเมนเข้ามาก็ตาม
2.ระบบ รับคำขอจาก user เข้ามาประมวลผล เกิดขึ้นหลังจากที่รับคำสั่งมาจาก user ก็ตรวจสอบว่าคำสั่งนั้นต้องการดึงข้อมูลจากเว็บใด ก็รับคำขอมาประมวลผล
3.เว็บ php ติดต่อเข้าฐานข้อมูลเพื่อขอเข้าใช้ เมื่อเปิดการประมวลผลหน้าเว็บ php และเจอคำสั่งที่ใช้ติดต่อฐานข้อมูล ระบบก็จะเชื่อมต่อเข้าไปที่ส่วนของฐานข้อมูลเพื่อเตรียมพร้อมกานรับส่งข้อมูลกับฐานข้อมูลต่อไป
โดยเราจะต้องมีโค้ดเพื่อทำการเชื่อมต่อนะครับ ไม่อย่างนั้น ตัว PHP จะไม่สามารถเข้าไปทำการเปิดฐานข้อมูลมาได้ครับ ด้วยเหตุผลหลายๆข้อดังนี้
1.เพื่อความปลอดภัย เพราะว่าอย่างที่ทราบว่า host 1เครื่องมีหลายคนใช้งาน หลายฐานข้อมูล ดังนั้น เราก็ต้องแยกกันใช้ด้วยเจ้าผู้ใช้งานนี่ล่ะครับ และเพื่อกันการที่บุคคลทั่วไปมาเปิดฐานข้อมูลดูด้วยครับ
2.เพื่อความสะดวกในการเข้าถึง เพราะหากว่าเอาฐานข้อมูลมากองรวมกันหมด มันคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายในการค้นหาแน่ๆ
3.เพื่อความรวดเร็ว เพราะว่า จะได้แยกออกมาได้อย่างถูกต้องว่า user แต่ละคนนั้นมีข้อมูลอะไรอยู่บ้าง
โค้ดการเชื่อมต่อ MySQL จะมีดังนี้ครับ
$hostspec = 'localhost';//ลักษณะ host ปรกติคือ localhost $username = 'user';//username ของผู้ใช้งาน MySQL $password = 'seekrit';//password ของผู้ใช้งาน MySQL $database = 'phpbook';//ชื่อ ฐานข้อมูลที่เราจะทำการติดต่อ $table = 'name';//ตารางที่เรา ต้องการติดต่อ $handle = @mysql_connect($hostspec, $username, $password);//คำสั่งติดต่อฐานข้อมูล if (!$handle) { die("Could not connect to database");//หมายความว่าติดต่อไม่ได้ }
4.ค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลเพื่อเตรียมแสดง เริ่มทำการค้นหาข้อมูลที่เก็บตามเงื่อนไขคำสั่งของ php ที่สั่งมา โดยอาศัยภาษา SQL จากนั้นก็คืนข้อมูลที่ต้องการไปยังหน้าเว็บ php ซึ่งโค้ดก็จะมีดังนี้
mysql_select_db($database);//เปิด ฐานข้อมูลที่เก็บในตัวแปร $database $result = mysql_query("SELECT article_subject FROM $table");//ค้นข้อมูลจาก field ที่ชื่อ testvalue จากตารางชื่อที่เก็บในตัวแปร $table มาใส่ในตัวแปร $result $result2 = mysql_fetch_array($result);//เอาค่าของ field ชุดแรกแรกมาใส่ในตัวแปร$result2
5.ข้อมูลที่ดึงขึ้นมาจากฐานข้อมูลถูกประมวลรวมกันแล้วแสดงผลออกมาเป็นหน้าเว็บ เมื่อรับข้อมูลจาก SQL เข้ามาแล้ว ก็เข้าไปในส่วนแสดงผลต่อ เพื่อให้ออกมาเป็นหน้าเว็บ โค้ดมีดังนี้ครับ
if($result2){ echo $result2['testvalue'];//แสดง ค่าที่เก็บอยู่ใน Field ที่ชื่อ testvalue }
6.หน้าเว็บที่ได้ ถูกส่งกลับไปยังผู้ใช้ข้อที่ 1 หน้าเว็บที่พร้อมแล้วก็จะถูกส่งกลับไปแสดงกับผู้ใช้ที่เรียกเข้ามา
จบแล้วครับเอาไปลองได้จริงเลยนะครับ โดยไปsave ชื่ออะไรก็ได้ แต่นามสกุล .php ครับ แล้วอย่าลืมเปิด Tag PHP ด้วยนะครับ คือเปิดด้วย ครับ
และในส่วนของ PHP-Fusion เองเนี่ย มันมีอะไรให้ท่านใช้งานได้ง่ายกว่านั้นอีกครับ เพราะว่าเค้าเขียนไอที่ยาวๆเยิ่นเย้อให้เหลือแค
$result = dbquery("SELECT * FROM ".$db_prefix."news");//คือการค้นหาข้อมูลจากตารางที่ชื่อ news โดยค้นทุก field ใส่ใน $result $data = dbarray($result);//เอา ข้อมูลใน field ชุดแรก ใส่ในตัวแปร $data echo $data['news_news'];//แสดง ข้อมูลจากตัวแปร $data['news_news'] คือแสดงเฉพาะข้อมูลส่วนของ field news_news นั่นเอง
3บรรทัดครับ แต่ชุดล่างนี้อย่างที่บอกนะครับว่าใช้ได้เฉพาะเว็บ php-fusion เท่านั้น เพราะเค้าเขียนฟังก์ชั่นให้เราใช้งานได้อย่างสะดวกแล้วครับ
นี่ล่ะครับ คือวิธีง่ายๆ อันนี้ผมแสดงให้ดูเป็นการเบื้องต้นเพื่อทำความเข้าใจนะครับ หากต้องการศึกษาเรื่องนี้ลึกๆ ก็ลองถาม พี่ google ดูเลยครับเพราะว่ารายละเอียดมันมีอีกเยอะมากเลย
ท้ายนี้ก็หวังว่าจะเข้าใจมากขึ้นแล้วนะครับ สำหรับเรื่อง PHPและ MySQL ไม่ต้องงงแล้วนะครับ ว่ามันคืออะไร และมันเกี่ยวข้องกันอย่างไร และมันทำหน้าที่อะไรครับ
http://meewebfree.com/site/basic-website/12-get-use-php-mysql
ในปัจจุบัน Web site ต่าง ๆ ได้มีการพัฒนาในด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว อาทิเช่น เรื่องของความสวยงามและแปลกใหม่, การบริการข่าวสารข้อมูลที่ทันสมัย,เป็นสื่อกลางในการติดต่อ และสิ่งหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากซึ่ง อได้ว่าเป็นการปฏิวัติรูปแบบการ ขายของก็คือ E-commerce ซึ่งเจ้าของสินค้าต่างๆ ไม่จำเป็น ต้องมีร้านค้าจริงและไม่จำเป็นต้องจ้างคนขายของอีกต่อไปร้านค้าและตัวสินค้านั้น จะไปปรากฏอยู่บน Wed site และการซื้อขายก็เกิดขึ้นบนโลกของ Internet แล้ว PHP ช่วยเราให้เป็นการพัฒนา Web site และความสามารถที่โดดเด่นอีกประการ-หนึ่งของ PHP นั้น คือ database-enabled web page ทำให้เอกสารของ HTML สามารถที่ จะเชื่อมต่อกับระบบฐานข้อมูล (database)ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว จึงทำให้ ความตองการในเรื่องการจัดรายการสินค้าและรับรายการสั่งของตลอดจนการจัดเก็บ ข้อมูลต่างๆ ที่สำคัญผ่านทาง Internet เป็นไปได้อย่างง่ายดาย
PHP เป็นภาษาจำพวก scripting language คำสั่งต่างๆจะเก็บอยู่ในไฟล์ที่เรียกว่า สคริปต์ (script) และเวลาใช้งานต้องอาศัยตัวแปลชุดคำสั่ง ตัวอย่างของภาษาสคริปก็เช่น JavaScript, Perl เป็นต้น ลักษณะของ PHP ที่แตกต่างจากภาษาสคริปต์แบบอื่นๆ คือ PHP ได้รับการพัฒนาและออกแบบมา เพื่อใช้งานในการสร้างเอกสารแบบ HTML โดยสามารถสอดแทรกหรือแก้ไขเนื้อหาได้โดยอัตโนมัติ ดังนั้นจึงกล่าวว่า PHP เป็นภาษาที่เรียกว่า server-side หรือ HTML-embedded scripting language เป็นเครื่องมือที่สำคัญชนิดหนึ่งที่ช่วยให้เราสามารถสร้างเอกสารแบบ Dynamic HTML ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีลูกเล่นมากขึ้น
เนื่องจากว่า PHP ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัว Web Server ดังนั้นถ้าจะใช้ PHP ก็จะต้องดูก่อนว่า Web server นั้นสามารถใช้สคริปต์ PHP ได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น PHP สามารถใช้ได้กับ Apache WebServer และ Personal Web Server (PWP) สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows 95/98/NT
ในกรณีของ Apache เราสามารถใช้ PHP ได้สองรูปแบบคือ ในลักษณะของ CGI และ Apache Module ความแตกต่างอยู่ตรงที่ว่า ถ้าใช้ PHP เป็นแบบโมดูล PHP จะเป็นส่วนหนึ่งของ Apache หรือเป็นส่วนขยายในการทำงานนั่นเอง ซึ่งจะทำงานได้เร็วกว่าแบบที่เป็น CGI เพราะว่า ถ้าเป็น CGI แล้ว ตัวแปลชุดคำสั่งของ PHP ถือว่าเป็นแค่โปรแกรมภายนอก ซึ่ง Apache จะต้องเรียกขึ้นมาทำงานทุกครั้ง ที่ต้องการใช้ PHP ดังนั้น ถ้ามองในเรื่องของประสิทธิภาพในการทำงาน การใช้ PHP แบบที่เป็นโมดูลหนึ่งของ Apache จะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า
http://thaigpl.medianewsonline.com/index.php?topic=108.0
ภาษา PHP
พีเอชพี (PHP) คือ ภาษาคอมพิวเตอร์ในลักษณะเซิร์ฟเวอร์-ไซด์ สคริปต์ โดยลิขสิทธิ์อยู่ในลักษณะโอเพนซอร์ส ภาษาพีเอชพีใช้สำหรับจัดทำเว็บไซต์ และแสดงผลออกมาในรูปแบบ HTML โดยมีรากฐานโครงสร้างคำสั่งมาจากภาษา ภาษาซี ภาษาจาวา และ ภาษาเพิร์ล ซึ่ง ภาษาพีเอชพี นั้นง่ายต่อการเรียนรู้ ซึ่งเป้าหมายหลักของภาษานี้ คือให้นักพัฒนาเว็บไซต์สามารถเขียน เว็บเพจ ที่มีความตอบโต้ได้อย่างรวดเร็วรู้ซึ่งเป้า
วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] คุณผู้อ่านที่ติดตามเว็บไซต์ arip เป็นประจำ อาจจะจำเจ้า LittleDog หุ่นยนต์ 4 ขาที่สามารถเดินทางได้ทุกสภาพแวดล้อมพื้นผิว โดยไม่เกี่ยงว่า มันจะเต็มไปด้วยหินขรุขระ หรือเต็มไปด้วยหลึบร่องช่องรู ที่ทำให้มันก้าวเดินได้อย่างลำบาก แต่ก็ไม่เกินฝีมือของมันไปได้อย่างแน่นอน ล่าสุดมันกลับมาอีกครั้งพร้อมกับความสามารถอันน่าทึ่งของมัน
สำหรับเวอร์ชันล่าสุดของหุ่นยนต์ LittleDog มันสามารถเรียนรู้เส้นทางทุรกันดาร ซึ่งเต็มไปด้วยโขดหินน้อยใหญ่ได้ด้วยตัวเอง (หากก้าวพลาดพลั้งมันจะเรียนรู้และหาตำแหน่งที่ยืนได้มั่นคงกว่าด้วยตัวเองในครั้งต่อไป) การก้าวข้ามช่องว่าง หรือสิ่งกีดขวางที่อยู่เบื้องหน้า ตลอดจนไต่ขึ้นบันได และคลานต่ำบนพื้นลาดเอียง โดยเซ็นเซอร์ที่เท้าของ LittleDog จะไวต่อคุณสมบัติพื้นผิวที่มันสัมผัส (แข็ง หรืออ่อนนุ่ม) เพื่อตอบสนองและประมวลผลในการย่างก้าวของมัน ลองชมดูนะครับ รับรองว่าต้องประทับใจในความสามารถของมันอย่างแน่นอน
วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วิธีการทำภาพ 3 มิติ
1.สร้างหน้ากระดาษขึ้นมาแล้วปรับขนาดตามต้องการค่ะ
2.จากนั้นไปที่เครื่องมือ Set foreground Color แล้วเลือกสีเข้ม 1 สี สีอ่อน 1 สี
3.ต่อไปคลิกที่แถบเมนูด้านบน---Filter---Render---Clouds
4.ให้กด Ctrl+f ซ้ำไปเรื่อย ๆ ก็จะหาย
5.มากำหนดFilter---Stylize---Extrude---แล้วปรับตามรูป*type * Blockssize 8Depth 100 * Random*solid Front faces6.นำรุปภาพใด ๆ ก็ได้ที่เป็นวรรณะเดียวกับพื้นหลังนำมาตัดหรือให้ภาพเกิดความสมดุลมากขึ้นโดยเลือกอุปกรณ์การตัด------Polygonal Lasso Tool (L)
วิธีการทำภาพฉีก
1.เปิดภาพที่เราต้องการทำขึ้น
2.ใช้เครื่องมือ Lasso Tool แล้วเริ่มการตัดโดยเลือกส่วนที่เราต้องการให้ภาพนั้นมีรอยฉีก
3.สร้างหน้ากระดาษขึ้นมาโดยเลือกขนาดของเลเยอร์ตามขนาดที่เราต้องการ
4.นำภาพที่ตัดแล้วมาใส่ในเลเยอร์ใหม่ จากนั้นจัดขนาดของภาพ
5.ลงสี Backaround โดยนำเมาส์ไปคลิ๊กที่ Backaround ที่อยู่ข้างภาพจากนั้นไปที่เครื่องมือ Gradient Tool แล้วเลือกสีตามใจชอบ
วิธี ใส่รุ้งกินน้ำในภาพ
1.เลือกภาพที่ต้องการ
2.เลือก Gradient Tool คลิก Radial Gradient Tool ไปที่ Click open to Gradient pixker
เลือก Special Effect จะมีภาพรุ้งกินน้ำแล้วคลิดตกลง
3.สร้าง Layer ใหม่ แล้วไปที่ Gradient Tool ลากเส้นตรงจากล่างไปบน ปรับตามความต้องการ
4.ไปที่ Add Layer mash ปรับกล่องสีให้เป็นดำ-ขาว ไปที่ Brush Tool> Brush preset pixker
ปรับขนาดแปรงเป็น 250 ปรับ Opacity=100% Flow=100%
5.คลิกที่ภาพส่วนที่ต้องการให้รุ้งจางลง จากนั้นไปที่ Layer1 ลดค่าลงเหลือ Opacity 20%
วิธีการทำภาพวาด
วิธีการทำไฮไลท์สีผม
1.เลือกภาพที่ต้องการจะไฮไลท์สีผม
2.สร้าง Layer ขึ้นมาอีกหนึ่ง
3.จากนั้นใช้เครื่องมือ Polygonal Lasso Tool เพื่อทำการไฮไลท์
4.จัดลากให้เป็นทรงแล้วเติมสีด้วยเครื่องมือ Paint Bucket Tool
5.ไปที่ Filter > Blur > Gaussian Blur แล้วปรับค่า Radus ตามความเหมาะสมสวยงาม
1.เลือกรูปที่จะมาตัดต่อ(รูปที่คล้าย ๆกันจะทำได้ง่าย
2.ตัดใบหน้ารูปเราไปใส่อีกรูปหนึ่งด้วยเครื่องมือ Magndic Lasso Tool แล้วนำไปไว้ Layer ที่สร้างไว้
3.แต่งภาพให้เนียนด้วยเครื่องมือ Eraser tool ลบส่วนเกินที่ไม่ต้องการออกและจัดใบหน้าให้เช้ากัน
4.ใช้เครื่องมือ Blur Tool ที่คล้ายรูปหยอดน้ำเกลี่ยผิวภาพ
5.ปรับความสว่างโดย Image-Adjustment-Brihtnessl Contrast
6.ปรับความคมชัด Image-Adjustment-Color Balance ปรับภาพให้กลมกลืนกัน
7.ถ้าต้องการดูดสีของสีผิวไปใส่ใบหน้า หรือสีของใบหน้าให้เหมือนกับสีผิวโดยการใช้เครื่องมือ Color Replacement Tool แล้วกด Alt แช่ไว้แล้วดูดสี
8.ถ้าต้องการให้หน้าสว่างขึ้นใช้เครื่องมือ Dodge Tool
9.ถ้าต้องการให้ภาพคมเข้มใช้เครื่องมือ Burn Tool10.ปรับแต่งภาพให้เข้ากันแล้ว Save
วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ไปที่ File > Open เพื่อเลือกรูปภาพที่เราต้องการ
แล้วก็ไปที่ Filter> Artistic> Watercolor
ก็จะได้อย่างนี้ แล้วก็กด ok
เพื่อให้ภาพสมจริงเราก็ไปที่ Filter > Texture > Texturizer
ก็จะได้เป็นอย่างนี้ขึ้นมา แล้วเราก็ปรับขนาดตรง Scaling ประมาณ 118% Relief 3 % แล้วก็ ok
วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
1. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายหรือละเมิดผู้อื่น
2. ไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น
3. ไม่สอดแนมหรือแก้ไขเปิดดูในแฟ้มของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร
5. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ
6. ไม่คัดลอกโปรแกรมผู้อื่นที่มีลิขสิทธิ์
7. ไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์
8. ไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. ต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมอันติดตามมาจากการกระทำ
10. ใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎระเบียบ กติกามารยาท
11. ไม่ทำความเสียหายให้กับคอมพิวเตอร์ที่ป็นของสาธารณะ
12. ควรดูแลและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
13. ไม่ทำความเสียหายแก่คอมพิวเตอร์สาธารณะ
14. ใช้ให้คุ้มค่ามากที่สุดและเป็นประโยชน์ต่อตนเอง
15. ไม่สร้างโปรแกรมที่ก่อกวนการทำงานของผู้อื่น
http://sw07086.blogspot.com/2009/02/blog-post.html
จริยธรรมการใช้คอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทต่อการดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์มากยิ่งขึ้น เนื่องจากคอมพิวเตอร์มีความสามารในการจัดเก็บข้อมูล ประมวลผลสารสนเทศ และเป็นเครื่องมือการสือสารที่รวดเร็ว ส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน โรงเรียน และหน่วยงานธุรกิจมีประสิทธิภาพสูงขึ้น คาดการณ์กันไว้ว่า ใน 2-3 ปีข้างหน้า ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะมีการพัฒนาในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์ ซอร์ฟแวร์ การสื่อสารและเครือข่ายแบบไร้สาย และครือข่ายเคลื่อนที่ ตลอดจนเทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์ มนุษย์ได้คิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อจะได้นำอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีเหล่านั้นมาช่วยอำนวนความสะดวก ลดขั้นตอนการทำงาน ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต หรือแม้แต่การช่วยชีวิตมนุษย์ เช่น การใช้หุ่นยนต์ในการเก็บกู้ระเบิด และผ่าตัดรักษาโรค ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะมีประโยชน์มากเพียงไรก็ตาม หากพิจารณาอีกด้านหนึ่งแล้ว คอมพิวเตอร์ก็จอาจจะเป็นภัยได้เช่นกัน หากผู้ใช้ไม่ระมัดระวังหรือนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น ในการใช้งานคอมพิวเตอร์ร่วมกันในสังคม ในแต่ละประเทศจึงได้มีารกำหนดระเบียบ กฎเกณฑ์ รวมถึงกฎหมายที่ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อให้เกิดคุณธรรมและจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
http://www.bs.ac.th/2548/e_bs/G7/kanokjit/page.html
http://www.thaixml.com/essentials/webs.htm
Web Service คือ program ชนิดหนึ่งที่ทำงานในลักษณะการให้บริการ โดยใช้การติดต่อสื่อสารระหว่าง application –to- application ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในลักษณะ Client-Server โดยใช้โพรโตคอล SOAP ภาษาที่ใช้เป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนคือ XML ทำให้เราสามารถเรียกใช้ component ใด ๆ ก็ได้บน protocol HTTP ซึ่งเป็น protocol สำหรับอินเทอร์เน็ต (World Wide Web)
http://www.guru-ict.com/guru/files/ReportWebService.doc
เว็บเซอร์วิส (Web service) คือระบบซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมา เพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านระบบเครือข่าย โดยที่ภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ คือ XML
http://www.boarddev.com/forum/index.php?topic=3458.0
สรุปคำว่าเว็บเซอร์วิส
เว็บเซอร์วิส เป็นเทคโนโลยี ที่ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างระบบต่างๆ เป็นไปได้อย่างอัตโนมัติโดยมีระบบต่างๆ อาจจะถูกพัฒนาโดยภาษาที่แตกต่างกันหรือทำงานอยู่บนเครืองคอมพิวเตอร์ ที่แตกต่างกัน ข้อมูลที่ถูกส่ง และรับระหว่างเครื่องเป็นภาษา XML มาตราฐานที่ใช้ในการติดต่อกัน เป็นมาตราฐานสากลและไม่มีใครเป็นเจ้าของ
http://www.irookie.net/blog/2008/11/19/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0/
เว็บไซต์ (website, web site, Web site) หมายถึงหน้าเว็บเพจหลายหน้า ซึ่งเชื่อมโยงกันผ่านทางไฮเปอร์ลิงก์ ส่วนใหญ่จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์ โดยถูกจัดเก็บไว้ในเวิลด์ไวด์เว็บ
http://www.esarndesign.com/index.php?option=com_content&view=article&id=5:2009-09-17-03-46-27&catid=2:knowledge&Itemid=10
เว็บไซต์web site
ความหมายหมายถึง แฟ้มข้อมูลหรือกลุ่มแฟ้มข้อมูลที่มีอยู่บนเวิลด์ไวด์เว็บ ดู world wide web ประกอบ
http://guru.sanook.com/search/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%95%E0%B9%8C/
สรุปคำว่าเว็บ
คือแหล่งที่เก็บข้อมูลเว็บเพจหลาย เว็บเพจ และมีการเชื่อมต่อกันทางอินเตอร์เน็ต
วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
A Landing Page is the page where your website visitors land i.e. arrive after they click on a link. The landing page can be your home page or any other page on your website specially designed to welcome your visitors. Landing pages can provide customized sales pitches for visitors. By designing great landing pages you can seek to engage visitors more effectively and increase your conversion rates.
Landing pages are a better way to welcome visitors that simply making them arrive on the home page. This is because when you know where the visitors are coming from, you can address their specific needs and offer customized solutions for the same. By giving visitors exactly what they need, you can captivate their attention and acquire a following of loyal audiences.
Landing pages are especially useful when you know where your visitors are coming from and you want to take particular actions like register themselves, sign-up or purchase something. If you are paying for the traffic through banner ads, sponsored links or PPC, then it gets especially important that you design specific landing pages.
Here are some tips to design effective landing pages that will engage visitors and provide higher ROI.
Focus on One Key Message
The content of the landing page should work to promote something specific. Don't get lost and try to showcase everything you have. Rather, focus on one key message and make your content precise and concise. It should focus on one appealing message that is sure to attract visitor attention.
Make it Visually Appealing
Only content seldom makes a sale. Make sure your support your content with relevant images that illustrate the quality of your products or even services. Images can highly impact the decisions of the users. Moreover, they make the page more vibrant and add beauty to what would otherwise have been long scrapes of information.
Ensure Rich User Experience
More then anything else, make sure that your visitors have a smooth and flawless user experience on the page. The navigation pathway should be clean and intuitive and the call-to-action should be clear and succinct.
Use Catchy Headlines
If your headline is able to catch the attention of visitors, only then they will read further. When visitors arrive on your landing pages, make sure they see clear and direct headlines. The headlines should be direct and simple statements that tell visitors what needs to be accomplished.
Use Abundant Whitespace
The beauty of the web page elements only come through if they can be viewed clearly. And for a clean view, there needs to be abundant whitespace on the page. Don't forget that Internet users scan through web pages. Clean use of space makes it possible for visitors to scan and understand the key messages of the web pages.
Deliver Value Propositions
The key to successful web communication is to answer visitor queries even before they ask you. Answer all the 'what', 'why', 'how' that visitors may ask with value propositions. Instead of long scrapes of plain text, use bullet points to present answers in a concise and easily comprehensible manner. Instantly inform them about the benefits of your products and services.
Make the Message Compelling and Convincing
Your landing page should be your best salesperson. It should persuade the visitors to make a purchase or hire your services. The message of your page should convince the visitors and compel them to take the desired action.
About the Author:
Kabir Bedi is working as a senior web consultant at LeXolution IT Services, a professional web design firm India. The company provides a range of website design and development services in addition to a host of website maintenance services such as Web site updates.